ส่งเสริมวินัยข้าราชการ(สิงหาคม64)

เมื่อเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก

ในความผิดฐาน

“ลักทรัพย์”

          ครูไม่ใช่มีหน้าที่เฉพาะสอนหนังสือหรือ จัดการศึกษาเท่านั้น แต่มีหน้าที่จัดการศึกษาอบรมให้ผู้เรียนเกิดความรู้สู่คุณธรรม สร้างเสริมความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีและที่ถูกต้อง เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และคุณธรรม จริยธรรม ผู้ที่เป็นครูจึงต้องเป็นแบบอย่างในการดำที่รับผิดชอบต่อสังคมและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข

          ข้อเท็จจริง นาง ส. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครูผู้ช่วย เคยมีคำพิพากษาคดีอาญา ข้อหาลักทรัพย์ เป็นทรัพย์สินต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๗ รายการ เป็นเงิน ๑,๒๔๒ บาท โดยขณะเกิดเหตุนาง ส. มีอายุ ๒๔ ปี เป็นผู้สอบแข่งขันได้และขึ้นบัญชีผู้สอบได้ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตามประกาศ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา ศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก ๔ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาทจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษจำคุก ๒ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ ๒ ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยไว้ ๑ ปี คดีถึงที่สุดจึงขอหารือว่า นาง ส. จะเป็นผู้ขาดคุณสมบัติทั่วไปในการเข้ารับราชการเป็นข้าราชและบุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรา ๓๐ (๗) และมาตรา ๓๐ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ หรือไม่ อย่างไร

กรอบของวินัยข้าราชการ

ครูเป็นวิชาชีพชั้นสูงย่อมต้องมีมาตรฐานทางด้านความประพฤติที่เหนือกว่าผู้ประกอบอาชีพอื่น ทั้งยังต้องวางตนเป็นแบบอย่างในการรักษาเกียรติคุณ ชื่อเสียง ให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาแก่ผู้เรียนชุมชน และสังคมครู ต้องเป็นแบบอย่างในการดำที่รับผิดชอบต่อสังคมและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขครูไม่ใช่มีหน้าที่เฉพาะสอนหนังสือหรือจัดการศึกษาเท่านั้น แต่มีหน้าที่จัดการศึกษาอบรมให้ผู้เรียนเกิดความรู้สู่คุณธรรม สร้างเสริมความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีและที่ถูกต้อง เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และคุณธรรม จริยธรรม

มติ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา วางหลักไว้ว่า

       ประเด็นที่หนึ่ง การจะเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามมาตรา๓๐(๑0) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ผู้นั้นจะต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด หมายถึงถูกจำคุกจริง  มิใช่กรณีที่ศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกแต่รอการลงโทษไว้ ทั้งนี้ เนื่องจากมาตรา ๓๐ (๑๐)เป็นบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิของบุคคลในการประกอบอาชีพ จึงต้องตีความถ้อยคำอย่างเคร่งครัด ดังนั้น การที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกนาง ส. ๒ ปีปรับ                            ๒,000 บาท โดยโทษจำคุกรอการลงโทษไว้ ๒ ปี จึงต้องถือว่านาง ส. มิได้ถูกจำคุกจริง และไม่เป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๓0 (๑๐)

       ประเด็นที่สอง การจะเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีสำหรับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูบุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรา ๓๐ (๗)แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๙ หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและพฤติกรรมในแต่ละกรณีเป็นเรื่อง ๆ ไปโดยคำนึงถึงเกียรติของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประกอบกับความรังเกียจของสังคมเป็นหลัก เพราะครูเป็นวิชาชีพชั้นสูงย่อมต้องมีมาตรฐานทางด้านความประพฤติที่เหนือกว่า                ผู้ประกอบอาชีพอื่น ทั้งยังต้องวางตนเป็นแบบอย่างในการรักษาเกียรติคุณ ชื่อเสียง ให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาแก่ผู้เรียนชุมชน และสังคมอีกด้วย การที่นาง                 ส. ลักทรัพย์สินต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๗ รายการเป็นเงินจำนวน ๑,๒๔๒ บาทโดยขณะเกิดเหตุนาง ส. มีอายุ ๒๔ ปี เป็นผู้ที่บรรลุนิติภาวะ ทั้งยังเป็นผู้สอบแข่งขันได้และขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันในตำแหน่ง ครูผู้ช่วย กลุ่มวิชาเอกคณิตศาสตร์ตามประกาศ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษานาง ส. จึงควรมีความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดี แต่กลับลงมือลักทรัพย์ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาจนนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาล และมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่านาง ส. กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวย่อมเป็นที่รังเกียจแก่สังคมและวิญญูชนทั่วไปไม่เหมาะสมสำหรับการประกอบอาชีพครูที่จะต้องเป็นแบบอย่างอันดีของสังคมและเยาวชนของชาติ เพราะผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นครูไม่ใช่มีหน้าที่เฉพาะสอนหนังสือหรือ จัดการศึกษาเท่านั้น แต่มีหน้าที่จัดการศึกษาอบรมให้ผู้เรียนเกิดความรู้สู่คุณธรรม สร้างเสริมความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีและที่ถูกต้อง เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และคุณธรรม จริยธรรม ผู้ที่เป็นครู จึงต้องเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิตที่รับผิดชอบต่อสังคมและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ดังนั้น นาง ส. จึงเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี ขาดคุณสมบัติการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรา ๓0 (๗) เทียบเคียง.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา๔/๒๕๕๔


คือ คำนึงถึงระดับโทษตามที่กฎหมายกำหนด

* ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง กำหนดโทษสถานหนัก

* ความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง กำหนดโทษสถานเบา

* ความผิดวินัยเล็กน้อย  จะงดโทษให้ก็ได้

    (ว่ากล่าวตักเตือน  ทัณฑ์บน)

2. หลักความเป็นธรรม
คือการวางโทษจะต้องให้ได้ระดับเสมอหน้ากัน ใครทำผิดก็จะต้องถูกลงโทษ

 

งานส่งเสริมสนับสนุนให้ข้าราชการรักษาวินัย

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต ๑

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

กระทรวงศึกษาธิการ

ผู้จัดทำ

นายณัฐวุฒิ คงเปี่ยม  นิติกรชำนาญการ

นายพงษ์ศักดิ์ มิ่งขวัญ ผอ.กลุ่มกฎหมายและคดี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กลุ่มกฎหมายและคดี